วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Bumblebee (2018) การกลับมาอย่างยอดเยี่ยมของสงครามหุ่นกล จุดเริ่มต้นของสงครามระหว่าง Autobots และ Decepticons


Bumblebee หนังต้อนรับการกลับมาของทรานสฟอร์มเมอร์ จากเนื้อเรื่องในภาคก่อน ๆ ดูไปได้แค่ภาคสองภาคสาม ก่อนที่เนื้อเรื่องในความเห็นของผมออกทะเลไปไกลมาก เลยไม่ได้ดูต่อจนครบทุกภาค พอเป็นการกลับมาของเจ้า Bumblebee เจ้าหุ่นเหลืองตัวเล็กน่ารัก เลยตัดสินใจกลับไปดูอีกครั้ง

ขอบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ได้คะแนนที่ดีเยี่ยมจากทั้งสองเว็บหลัก คือ IMDb 7.3 คะแนน และมะเขือเน่าที่ได้คะแนน Tomatometer 94% และ Audience Score 81% ซึ่งพอเข้าไปดูแล้วคะแนนไม่ได้หลอกเราเลย การกลับมาครั้งนี้ยอดเยี่ยมและเล่าเรื่องได้สมบูรณ์มาก

การพบกันระหว่างชาร์ลี วัตสัน เด็กสาวผู้คิดว่าตนเองแปลกแยกจากครอบครัว กับบัมเบิ้ลบี ออโต้บอทผู้สูญเสียความทรงจำจากการต่อสู้ กลายสภาพเป็นรถเต่าคันเก่า ๆ การเจอกันของทั้งสองนำมาสู่การเติมเต็มความรู้สึกของกันและกัน ทั้งคู่ต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายคือครอบครัวของตน

ในขณะเนื้อเรื่องฉากหลังที่ตามมาหลอกหลอนบัมเบิ้ลบี คือสงครามระหว่าง Autobots และ Decepticons ที่เหล่าดีเซปติคอนส์ยังคงตามล่าออโต้บอทเพื่อกวาดล้างเหล่ากบฎให้หมด โดยมีเป้าหมายหลักคือ Optimus prime ผู้นำของออโต้บอทเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องทำลายให้จงได้ โดยคราวนี้บัมเบิ้ลบีคือเบาะแสสำคัญเพื่อนำไปสู่ตัวออฟติมัสไพรม์

สงครามล่าล้างจักรวาลของทั้งสองนำโลกเข้าไปเกี่ยวพันด้วย ในฐานะที่จะเป็นฐานทัพของออโต้บอทในอนาคต จึงมีการต่อสู้กันสามฝ่าย คือ มนุษย์ ดีเซปติคอนส์ และเหล่าออโต้บอทต่อไป

ต้องขอชมว่าหนังไม่ได้เน้นการต่อสู้ที่ระเบิดเถิดเทิง อาจจะเพราะได้ผู้กำกับคนใหม่คือ Travis Knight มาแทนที่ Michael Bay ผู้กำกับคนเดิม ที่สมัยก่อนสร้างความตื่นตาตื่นใจกับฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมมาก่อนหน้านี้ 

ตัวหนังเน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร บัมเบิลบี และชาร์ลี วัตสัน มากกว่าสงครามระหว่างหุ่นกล ทำให้หนังมีมิติมากขึ้น การผูกปมคลายปมในหนัง ดราม่าครอบครัวต่าง ๆ ล้วนคลี่คลายไม่ทิ้งเป็นปมไว้ในหัว เป็นการจบที่สมบูรณ์ของหนังเรื่องนี้ จนไม่อยากให้มีภาคต่อออกมาเลย

แต่ถ้าถามว่ามีภาคต่อจะดูไหม ก็ต้องดู! 







ไม่มีความคิดเห็น: