แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Book แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Book แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Longevity Clan Starts with the Patriarch’s Marriage: มีลูกเพื่อความยิ่งใหญ่

 


ปกติผมเป็นคนอ่านนิยายจีนกำลังภายในบนหน้าเว็บอยู่แล้ว ซึ่งหลายเรื่องก็ไม่ได้อ่านจนจบ แต่มาเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่อ่านจนจบในปีนี้เลย เรื่อง Longevity Clan Starts with the Patriarch’s Marriage จากผู้แต่ง Ride the wind while it's weak มีความยาว 800 ตอน ซึ่งเป็นแนวที่ตัวเอกชื่อ หาน หลี่ (Han Li) ที่เกิดใหม่ในโลกแนวกำลังภายในแฟนตาซี ที่การดำรงชีวิตต้องอาศัยความแข็งแกร่งของวิทยายุทธ์เท่านั้น 

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่ของเมื่อวาน | ความหมายของการมีชีวิตอยู่

 ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน

หนังสือแปลจากญี่ปุ่นเล่มนี้ชื่อ ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน อ่านแล้วก็ดูเป็นเรื่องราวธรรมดา แต่หากมีเสน่ห์ชวนให้ขบคิดถึงปริศนาของชีวิตเล่น ๆ ว่าทำไมพรุ่งนี้ต้องกินขนมปัง แล้วแกงกะหรี่ของเมื่อวานเอาไปไหนล่ะ 

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ก้าวเดิน | Walking One Step at a Time by Erling Kagge “คิดอะไรไม่ออกให้ออกเดิน”

 Books

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ เออร์ลิง คักเก เป็นชาวนอร์เวย์ เป็นนักสำรวจคนแรกของโลก ที่เดินกว่าแปดร้อยไมล์ไปยังขั้วโลกใต้ตามลำพัง เป็นคนแรกที่พิชิตสามขั้วโลก คือ เหนือ ใต้ และยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เป็นนักกฎหมาย เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ เป็นนักสะสมงานศิลปะ เป็นนายแบบ เขียนหนังสือมาแล้ว 9 เล่ม ได้รับการแปล 38 ภาษา 

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

The Beautiful Cure | ความมหัศจรรย์ของระบบภูมิคุ้มกัน และหนทางการต่อสู้กับโรคมะเร็ง


หนังสือที่อ่านจบเล่มแรกของปีนี้ เป็นหนังสือภาษาอังกฤษที่เล่าเกี่ยวกับจักรวาลและความเป็นมาของภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ โดยหนังสือได้รับรางวัล Science Book Prize 2018 เรื่อง The Beautiful Cure โดยผู้เขียนคือ Daniel M. Davis ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ซึ่งนอกจากหนังสือเล่มนี้แล้ว ยังเคยเขียนหนังสืออีกเล่มคือ The Compatibility Gene.

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เราหลงลืมอะไรบางอย่าง | เราทิ้งบางสิ่งไว้เสมอตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตจนมาเป็นตัวเราในวันนี้


ได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว "เราหลงลืมอะไรบางอย่าง" โดยคุณวัชระ สัจจะสารสิน แค่ชื่อหนังสือก็ทำให้ฉุกคิดว่าการใช้ชีวิตที่ผ่านมาเราทิ้งหรือทำอะไรหายไปบ้าง สิ่งแรกที่ทำหายไปคงเป็นความฝันในวัยเด็ก ที่ตอนนี้กลายเป็นความทรงจำดูเลือนราง 

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

อยากตายแต่ก็อยากกินต๊อกบกกี | ถึงชีวิตจะแย่ แต่ก็ยังมีของอร่อยเป็นความหวัง


หนังสือขายดีจากเกาหลีใต้ บันทึกระหว่างผู้เขียน แบ็กเซฮี ผู้มีอาการโรคซึมเศร้า กับจิตแพทย์ของเธอแปลโดย ญาณิศา จังตั้งสัจธรรม สิ่งที่ผมประทับใจเป็นสิ่งแรกคือ ชื่อหนังสือ "อยากตายแต่ก็อยากกินต๊อกบกกี" มันเป็นอะไรที่ทัชความรู้สึกของผมมาก ในวันที่แย่ ๆ ที่สุดของเรา โลกก็ยังมีของอร่อยรอเราอยู่

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562

มลายูที่รู้สึก | ความรู้สึกและข้อคิดเห็นของ ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ


บ่ายนี้หลังจากไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดปากน้ำสองถ้วย ก็กลับมานั่งอ่านหนังสือต่อ  ผมซื้อมาจากร้าน Anatomy มาเก็บไว้ประมาณเกือบเดือนแล้ว แต่มีเหตุให้อ่านด้วยเรื่องของผู้พิพากษาศาลจังหวัดยะลาที่ยิงตัวเอง คณากร เพียรชนะ จากมูลเหตว่าถูกแทรกแซงในการปฏิบัติงานถูกบังคับให้ตัดสินประหารชีวิตและจำคุกประชาชนตลอดชีวิตทั้งที่หลักฐานไม่เพียงพอ 

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Powerful | ทำไม Netflix ถึงมีแต่คนโคตรเก่ง โดยแพตตี้ แมคคอร์ด อดีตผู้บริหารฝ่ายบุคคล ที่ร่วมเขียน Netflix Culture Deck อันโด่งดัง


หนังสือ "ทำไม Netflix ถึงมีแต่คนโคตรเก่ง" โดยแพตตี้ แมคคอร์ด (Patty McCord) อดีตผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล ที่ร่วมเขียน Netflix Culture Deck อันโด่งดัง ชื่อหนังสือแปลจากภาษาอังกฤษว่า "Powerful" 

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

เดียวดายในโลกเหว่ว้า | Seventeen & J จาก Kenzaburo Oe ผู้ชนะรางวัลโนเบลปี 1994


วันหยุดแบบนี้ ตื่นสายหน่อย แล้วไปหากาแฟอร่อยกิน ที่ร้าน ว่าง Cafe' & Bistro วันนี้ลองสั่ง LongBlack ที่เป็นอเมริกาโน่ดับเบิ้ลชอต ใช้กาแฟคั่วเข้ม กินแล้วสดชื่น ฤทธิ์กาแฟอยู่ได้ยาวถึงเย็น แต่บาริสต้าเดินมาแนะนำว่า วันหลังใช้กาแฟคั่วกลางแล้วดึงเป็นเข้มได้ จะอร่อยกว่า เพราะทางร้านมักจะใช้กาแฟคั่วเข้มเบลนด์กับเมนูอื่น ซึ่งนอกจากกาแฟแล้วก็ยังสั่งนิวยอร์คชีสเค้ก รวมแล้วราคา 115 บาท อร่อยมาก

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562

เศรษฐศาสตร์ เปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย | หนังสืออ่านง่ายและยกตัวอย่างได้เข้ากับยุคสมัย


หนังสือเรื่องแรกที่อ่านจบในปีนี้ คือ "เศรษฐศาสตร์ เปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย" ที่คนเขียนเป็นชาวเกาหลี ชื่อ ปาร์คพยองนูล กับผู้แปล คือ ตรองสิริ ทองคำใส ผมบอกเลยว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เป็นเนื้อหาทางเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจง่ายมาก ชอบตรงการยกตัวอย่างที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ถึงแม้บางสถานการณ์จะเป็นเหตุการณ์ในเกาหลี แต่ถ้าเราเปลี่ยนชื่อเมืองในหนังสือเป็นชื่อจังหวัดในไทย ก็ทำให้เราเข้าใจง่ายทันทีเลยครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

"เงียบ" Silence In the Age of Noise by Erling Kagge


หนังสือเล่มนี้นำเสนอความเงียบภายในตัวเองว่าจำเป็นอย่างไรสำหรับมนุษย์ที่อยู่ในยุคที่ขาดมือถือไม่ได้ ในทุกวันที่เร่งรีบ เราควรจะมีช่วงเวลาที่ "เงียบ" เพื่อฟังเสียงภายในตัวของเราเอง เพื่อทำตามความต้องการของตัวเองบ้าง ดีกว่าฟังความต้องการจากภายนอก ทำสิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะเป็นความว่างเปล่า

ประวัติของผู้แต่ง "Erling Kagge" เป็นชาวนอรเวย์ และเป็นนักสำรวจคนแรกของโลกที่เดินกว่าแปดร้อยไมล์ไปยังขั้วโลกใต้ตามลำพัง และเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่พิชิตสามขั้วโลก ได้แก่ ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ และยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ซึ่งระหว่างการเดินทางเหล่านี้  เขาต้องอยู่กับความเงียบสุดขั้วเป็นเวลานาน หลังกลับจากการเดินทางเขาพยายามทำความเข้าใจประสบการณ์ และเสาะหาห้วงขณะเงียบ ๆ ท่ามกลางชีวิตที่วุ่นวายของโลกสมัยใหม่และชีวิตในแต่ละวัน นอกจากเป็นนักสำรวจ/นักผจญภัยแล้ว เขายังเป็นนักกฎหมาย เจ้าของสำนักพิมพ์ นักสะสมงานศิลปะ รวมถึงเป็นนายแบบนาฬิกาโรเล็กซ์ เขาเขียนหนังสือมาแล้วแปดเล่มเกี่ยวกับการสำรวจ ปรัชญา การสะสมงานศิลปะ (ข้อความจากหนังสือ "เงียบ" Silence In the Age of Noise"

หนังสือยังกล่าวถึงกลอนของ The silence afterwards ของ Rolf Jacobsen ที่ท่อนหนึ่งกล่าวถึงความเงียบไว้ดังนี้

The silence that lives in the grass
on the underside of each blade
and in the blue intervals between the stones.

ความเงียบซึ่งพำนักอยู่ในพงหญ้า
บนด้านใต้ของหญ้าแต่ละใบ
และในช่องว่างสีฟ้าระหว่างก้อนหิน

(อ่านตัวเต็มของกลอน ได้ที่ johnirons.blogspot.com)

มาตามหาความเงียบของเรากันครับ ความเงียบแต่ละคนอาจจะมีความหมายไม่เหมือนกัน อย่างผู้แต่งเขาชอบไปหาความเงียบตามธรรมชาติ บางคนชอบการนั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือแม้กระทั่งฟังเพลงที่ชอบ ก็ทำให้เกิดความเงียบในใจเราได้เช่นกัน

และถ้าอยากรู้ว่าความเงียบสำคัญอย่างไรต้องลองอ่านหนังสือเล่มนี้กันครับ ปล.หนังสือเล่มนี้ผมซื้อที่ SE-ED ราคา 280 บาท ถ้าเป็นสมาชิกลด 5%  ใครอยากซื้อหนังสือเล่มนี้ลองไปที่ลิงค์นี้ครับ (SE-ED: Silence In the Age of Noise) ราคาที่ซื้อในเว็บเป็นราคาที่ลดแล้วด้วยครับ 266 บาท

หมายเหตุ หนังสือเล่มนี้แค่เป็นปฐมบทของการนำพาคุณไปทำความรู้จักกับความเงียบ ส่วนการแสดงหาและการเติมเต็มนั้นเป็นเรื่องของตัวคุณเองล้วน ๆ ไม่สามารถคาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีวิธีที่ทำให้คุณพบความเงียบได้ทันที

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ชวนอ่าน The Five Secrets You Must Discover Before You Die



หนังสือเล่มนี้ The Five Secrets You Must Discover Before You Die เขียนเพื่อบอกเป้าหมายของการใช้ชีวิต ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไรถึงจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ไม่กลัวความตายในวันพรุ่งนี้ การใช้ชีวิตอย่างมีปัญญาญาณคือสิ่งใด หนังสือเล่มนี้จะบอกให้คุณทราบ

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ John Izzo เขามีแนวคิดว่า เมื่อเข้าสู่บั้นปลายชีวิต เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีปัญญาเข้าใจชีวิตและค้นพบความสุขอันลึกล้ำ ตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่วัยชรา สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความหมายตั้งแต่อายุยังน้อย

วิธีการที่เขาใช้คือ เขาขอให้คน 15,000 คนทั่วสหรัฐ ส่งรายชื่อบุคคลผู้มีปัญญา จากนั้นเขาก็นำมากรองให้เหลือจำนวน 200 คน แล้วสัมภาษณ์ทุกคน คนละ 1-3 ชั่วโมง เพื่อค้นหาว่า สิ่งใดคือสิ่งที่ทำให้ผู้มีปัญญาเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมสุข

ซึ่งเคล็ดลับหรือสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนตายนี้ ผู้เขียนบอกว่า ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ขาดเพียงแต่การปฏิบัติเท่านั้น ความลับ 5 ข้อนี้คือ
  1. ซื่อสัตย์กับตนเอง
  2. อย่าปล่อยให้เสียดาย
  3. ใช้ชีวิตด้วยความรัก
  4. อยู่กับปัจจุบัน
  5. ให้มากกว่ารับ
ความลับทั้งห้าข้อนี้ไม่ได้เป็นสิ่งลี้ลับอย่างใดทั้งสิ้น ล้วนเป็นสิ่งที่หนังสือหลายเล่มพูดถึง แต่หนังสือเล่มนี้จะบอกคุณว่า วิธีการหรือตัวอย่างที่จะใช้ชีวิตให้พร้อมต้องทำอย่างไร

สิ่งที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้คือ เคล็ดลับข้อแรก ซื่อสัตย์กับตนเอง และเคล็ดลับข้อที่สองคือ อย่าปล่อยให้เสียดาย เพราะที่ผ่านมา เพราะความไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง และปล่อยให้โอกาสหลาย ๆ ครั้งผ่านไป อย่างน่าเสียดาย ต้องหวนกลับมาคิดบ่อย ๆ ว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ต้องทำแบบนี้ ต้องทำอย่างนั้น ทิ้งไว้เป็นปมในใจเรื่อยมา

อ่านจบแล้วก็รู้สึกว่า หนังสือกำลังบอกให้เราเติมส่วนที่ขาดในชีวิต ทำให้ชีวิตเราสมบุรณ์มากขึ้น อาจจะทำไม่ได้ทุกข้อ แต่แค่บางข้อก็น่าจะทำให้ผมมีความสุขขึ้นอีกเยอะ

ผมตื่นรู้ขึ้นมาอีกหน่อยในเรื่องของการใช้ชีวิต ใครอยากสัมผัสความรู้สึกนี้ก็ไปหาอ่านกันได้ครับ

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

In Relation Shit! by พี่เพลีย หนังสือที่รวบรวมความสัมพันธ์แบบ Shit ยกกำลังสอง



In Relation Shit! by พี่เพลีย ก่อนอื่นสิ่งที่ทำให้เราอ่านหนังสือเล่มนี้คือเรารู้จักผู้แต่งผ่านทวิตเตอร์มาก่อนในนามหมอเพลีย @guplia หรือชื่อเล่นจริงจริงของนาง "หมอหมิง่" นางทำอาชีพหมอผิวหนังเหมาะกับหน้าของนาง นางหน้าใสและจัดเต็มทุกการแต่งตัว (เน้นพร๊อพ)

สิ่งที่ทำให้เรารู้จักหมอเพลียในทวิตเตอร์และฟอลโลวตั้งแต่บัดนั้นมา คือ ทวิตเตอร์ที่หมอเพลียประกาศก้องว่าจะแก้ผ้าเดินสยาม ถ้ามีคนทวิตครบหนึ่งล้านคน ซึ่งปัจจุบันนี้หมอเพลียลบทวิตนี้ออกไปแล้ว เพราะมีดราม่าอันเกิดจากความไม่เข้าใจว่ามันคือโจ๊กหรือมุกตลกที่แกเล่นไว้ขำขำ

เอาล่ะพอรู้จักหมอเพลียกันแล้ว (นอกเรื่องไปเยอะ) กลับมาที่หนังสือเล่มนี้กันบ้าง ตามชื่อบทความเลย ไม่ได้พูดโอเวอร์ หนังสือเล่มนี้รวมความสัมพันธ์แบบ Shit จริงจริง ยกเว้นความสัมพันธ์กับครอบครัว ระหว่างหมอเพลียกับคุณแม่ ตกใจที่นางง้อแม้ด้วยกระเป๋า Issey Miyake แต่พอคิดอีกทีก็หมอเพลียนี่เนาะ 555

ความสัมพันธ์แบบ Shit! ที่หมอเพลียเล่าให้ฟังในหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่คือความสัมพันธ์แบบแฟน ชั่วคราว หรือค้างคืน หรือตลอดไป มีหลายแบบมากมาก ยิ่งความรักหลายเส้านี่ยิ่งกว่าดราม่าหนังไทยอีก เอาจริงคืออ่านจบแล้ว ก็คิดว่า "หมอเพลียนี่ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันเนาะ" 555 นอกจากนี้นางยังเล่าความสัมพันธ์กับคนไข้ เพื่อนร่วมงาน ซึ่งชิตไม่แพ้กัน

แต่เอาล่ะ ถึงแม้ทุกความสัมพันธ์ไม่ว่ามันจะแย่ขนาดไหน มันก็ให้บทเรียนกับเราเสมอ ถ้าเราไม่โง่จนพลาดซ้ำสอง เราก็จะไม่ต้องไปเจอประสบการณ์แบบนี้อีก

สิ่งที่พี่เพลียกำลังบอกเราคือ ทุกอย่างมันก็แค่นี้ มีความสุขกับเรื่องตรงหน้า กับครอบครัวดีกว่า อย่าไปฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลัง ลุกขึ้นแล้วเดินต่อ ถ้าคุณยังมีความหวังในรักแท้

เหมือนกับหนังสือเล่มนี้ ที่เล่าให้ฟังถึงความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวมา 18 ตอน พอตอนที่ 19 หมอเพลียก็แฮปปี้เอนดิ้งกับความรัก พาแฟนไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่ฮ่องกง คนที่อ่านมาถึงตอนสุดท้ายนี้อย่างผมก็ออกจะหัวใจพองโตหน่อย ๆ เพราะยินดีไปกับนางด้วย

แต่.... ด้วยความที่เราฟอลหมอเพลียในทวิต เราเลยทวิตเล่าถึงหนังสือโดยเมนชันถึงหมอเพลียด้วย แล้วหมอเพลียเมนชันตอบกลับมาว่า "เพิ่งเลิกกับแฟนเมื่อสองวันก่อน" คุณพระ Shit! จนหยดสุดท้ายมากมาก

สุดท้ายนี้ขออวยพรให้คุณหมอเพลีย นักเขียนคนเก่งของเรา ยังคงศรัทธาในความรัก และเจอคนรักที่เหมาะสมกันในเร็ววัน

ใครต้องการซื้อหนังสือสั่งซื้อได้ที่ min/inrelationshit ตอนนี้ลดราคา 10%








วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

มีเหตุผลที่พระเจ้ายังให้เราหายใจ



มีเหตุผลที่พระเจ้ายังให้เราหายใจ (Until I Say Good-Bye: My Year of Living with Joy) หนังสือขายดีของนิวยอร์คไทมส์  เรื่องจริงของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ที่ใช้เวลาหนึ่งปีสุดท้ายของชีวิตมองความตายด้วยใจเป็นสุขและลุกขึ้นมาท้าทายที่สุดในชีวิต นั่นคือการเขียนหนังสือเพียงนิ้วเดียวที่ยังใช้การได้

ในเดือนมิถุนายน ปี 2011 ซูซาน สเปนเซอร์-เวนเดล นักเขียนของเรื่อง ได้รู้ว่าตัวเองเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) โรคที่ยังไม่มีทางรักษาในปัจจุบัน อาการของโรคทำให้กล้ามเนื้อของเธอ ค่อย ๆ ตายไปทีละส่วน เริ่มจากมือข้างหนึ่งจนลามไปทั่วร่างกาย จากใช้มือข้างหนึ่งไม่ถนัด จนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ ตอนที่เธอรู้ตัว ตอนนั้นเธอมีอายุ 44 ปี มีสามีและลูกอีก 3 คน เธอรู้ว่าเธอเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งปี ที่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว

เธอจึงอยากใช้เวลาหนึ่งปีที่เหลืออยู่เป็นเวลาที่มหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของเธอ การท่องเที่ยว การเดินทาง การตามหาครอบครัวผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง รวมถึงสิ่งสุดท้ายที่เธอกังวลที่สุด คือ จอห์นผู้เป็นสามี กับลูกลูกของเธอ มารีนา ออเบรย์ และเวสลีย์ เธอพยายามเตรียมทุกอย่างให้พร้อมภายหลังเธอจากไป เพื่อที่ครอบครัวของเธอจะอยู่ได้อย่างมั่นคงเมื่อไม่มีเธอ

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เล่าชีวิตมหัศจรรย์ของซูซาน ไม่มีปาฏิหาริย์ทำให้เธอหายป่วย แต่เล่าชีวิตของเธอในหนึ่งปีสุดท้าย การเตรียมตัวและการผจญภัยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เพื่อเตรียมตัวไปสู่วินาทีสุดท้ายของชีวิต  ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้มีความสุขในทุกนาทีอย่างคำโปรยหรอก เธอมีช่วงเศร้าเสียใจรับตัวเองไม่ได้ ช่วงที่โทษตัวเอง ช่วงที่เจ็บปวดมากจนเธอแทบฆ่าตัวตาย แต่เธอมีครอบครัวที่ไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจ ทำให้เธอจึงผ่านวันเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้มาอย่างเข้มแข็ง

การอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้เข้าใจชีวิตของเรามากขึ้น เข้าใจว่าถึงแม้เราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงใด ขอให้คุณยอมรับตัวเอง เข้มแข็ง และยืนหยัดสู้กับมันจนวันสุท้าย อย่างน้อยถึงคุณไม่ชนะ แต่คุณได้ใช้ชีวิตในฐานะนักสู้ มีความสุขกับการต่อสู้นั้น

ขอบคุณซูซานที่เขียนหนังสือเล่มนี้ เธอได้มอบความเข้มแข็งและกำลังใจให้กับผมเป็นอย่างมาก ถึงแม้เธอจะจากไปแล้ว ผมก็ขอให้เธอมีความสุขในภพภูมิที่เธออยู่ และขอให้ครอบครัวของเธอมีความสุขดังที่ใจเธอปรารถนาไว้ ขอบคุณครับ

สุดท้ายนี้หนังสือเล่มนี้ได้ส่งต่อให้กับมิตรสหายท่านหนึ่งในทวิตเตอร์ คือ @PPkawari เพื่อเป็นการส่งมอบความเข้มแข็งที่คุณซูซานมอบให้กับผู้อ่านอย่างเราทุกคน

ปล.หนังสือเล่มนี้ผมซื้อที่ B2S ใครอยากอ่านต่อก็ไปหากันได้








วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

3 วันดี 4 วันเศร้า กับพี่ทราย เจริญปุระ


คนทั่วไปรู้จักพี่ทรายแบบไหน ผมก็น่าจะรู้จักพี่ทรายแบบนั้น พี่ทรายในภาพจำของผมเป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่องนางนาก (ปี 2542) และรับบทเป็นดาราตามช่องต่าง ๆ บ้าง ที่รับรู้ต่อมาคือ เป็นคนติสต์ ไม่เหมือนดารานักแสดงคนอื่น ๆ ต่อมาคือ ประสบอุบัติเหตุ "คอหัก" ตอนที่เราได้ยินข่าวก็ตกใจ คนปกติคอหักคงไม่อยู่แล้ว แต่พี่ทรายยังรอดมาได้นี่โคตรดวงแข็งเลย สุดท้ายคือ พี่ทรายเป็นโรคซึมเศร้า

เฮ้ย! คนแบบพี่ทราย อินทิรา เจริญปุระ เนี่ยนะ เป็นโรคซึมเศร้า มันขัดกับภาพในหัวของเรามาก ว่า พี่ทรายเป็นคนเข้มแข็ง เป็นพี่คนโต ทำงานตั้งแต่เด็ก เราจึงคิดว่านางน่าจะแข็งแกร่งยืนหยัดต่อสู้กับสังคมได้สบาย ๆ ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรพี่ทรายจะกลับมาเป็นคนเดิม เป็นนางนากที่เฮี้ยนหลอกคนไปทั่วได้เหมือนเดิม

ซึ่งถ้าใครติดตามผลงานพี่ทรายทางโซเชียลมาบ้าง จะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาพี่ทรายพูดเกี่ยวกับตโรคซึมเศร้ามากขึ้น มีบทสัมภาษณ์ทางนิตยสาร หรือลงเป็นคลิปวิดีโอในยูทูป ไม่เชื่อคุณลองไปเสิร์ชชื่อ "ทราย เจริญปุระ" ในยูทูปดู คลิปแรกที่ขึ้นมา คือ ช่องพอดแคสต์ของ The Standard ถัดมาเป็นรายการแฉของ GMMTV25 ที่พี่ทรายได้เล่าเรื่องโรคซึมเศร้าของตัวเอง

ถามว่าดีไหมที่พี่ทรายต้องออกมาบอกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ส่วนตัวผมต้องบอกเลยว่าดี เพราะมันส่งผลกระทบในวงกว้าง มีคนที่ตื่นตัวและหันมาทำความเข้าใจตัวโรคนี้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่คนปกติทั่วไปนะ แต่คนที่เป็นโรคซึมเศร้าเองก็ได้ปรับตัวทำความเข้าใจกับตัวเองด้วย 

หนังสือ "3 วันดี 4 วันเศร้า" ราคา 160 บาท เล่มนี้ น่าจะมีเป้าหมายเพื่อเล่าให้กับผู้ป่วยและสังคมรอบข้างรู้ว่า คุณต้องเจอกับอะไรบ้าง หากคุณหรือคนรอบตัวป่วยเป็นโรคนี้ ทั้งในฐานะที่พี่ทรายเป็นผู้ป่วยเอง และมีคนในครอบครัวป่วยคือ คุณแม่ 

ผมใช้เวลาอ่านประมาณ 1 ชั่วโมง สิ่งที่ได้กลับมาคุ้มค่ามาก พี่ทรายเล่าให้เราฟังว่า โรคซึมเศร้า มันไม่ใช่อาการที่คนคนนึงจะรู้สึกอ่อนแอ ไม่ยอมชนะใจตัวเอง แต่มันคือโรค โรคที่ต้องได้รับการรักษาเหมือนผู้ป่วยคนอื่นทั่วไป ที่เจ็บกายก็รักษากาย เช่นเดียวกับใจ ถ้าใจเราป่วยก็ต้องรักษาเช่นกัน พร้อมทั้งเล่าประสบการณ์ตั้งแต่พี่ทรายประสบอุบัติเหตุ การเข้ารับการรักษา พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป การปรับเปลี่ยนความคิด และการเข้ารับการรักษา สุดท้ายคือประสบการณ์ที่ต้องส่งคุณแม่ตัวเองเข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา เพื่อเข้ารักการรักษาอาการทางสมอง

ผมอยากจะบอกว่า พี่ทรายเข้มแข็งและมีสติในการดำเนินชีวิตมาก มากกว่าคนทั่วไป อย่างน้อยพี่ทรายก็กลับมาใช้ชีวิตในสังคม เผชิญหน้าและสู้รบปรบมือไปกับสิ่งที่เข้ามา กลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี และเป็นนักแสดงมืออาชีพเหมือนเดิม ขอบคุณคนรอบตัวพี่ทรายที่ช่วยกันดูแล และทำให้พี่ทรายเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม  หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่บอกแนวทางการรักษา ผู้ป่วยแต่ละคนมีความพิเศษ ต้องอาศัยความเข้าใจในการรับมือ พึงระลึกไว้ว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งหมดไม่ได้เป็นแบบพี่ทราย

มาร่วมติดตามความแข็งแกร่งของพี่ทราย เจริญปุระ กันได้ที่โลกของนกสีฟ้า: @charoenpura