การเดินทาง มาเบตงทุกครั้ง ก็ต้องนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง OK Betong ที่ผมไม่เคยดู แต่เมืองเบตงเอาคำนี้มาเป็นจุดขายทางเข้าเมือง ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปกัน โดยกว่าเราจะได้มาถ่ายรูปกันที่นี่ ก็วางแผนกันมาเดือนกว่าสำหรับทริปเบตง ดูทะเลหมอก ฆูนุงซีลีปัต ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นทะเลหมอกที่เดียวกับจุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ซึ่งผมก็แน่ใจก่อนมาถึงเบตงได้ไม่กี่วัน การเดินทางจากปัตตานีมาเบตงขับรถมาใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยเท้าเทพเหยียบโลกน้องดีนผู้รักการขับรถ ขับรวดเดียวจากปัตตานีไปเบตงโดยไม่แวะเลย ซึ่งการเดินทางสำหรับคนไม่เคยไปในเส้นทางนี้แนะนำว่าให้ไปในเวลากลางวันดีกว่า พวกผมที่เดินทางกันตอนกลางคืน เส้นทางน่ากลัวมาก ซึ่งเราถึงเบตงกันประมาณสองทุ่มครึ่งก็ตรงไปที่พัก โรงแรมการ์เดนวิว ซึ่งเราได้ราคามาห้องละ 600 บาท
เบตง เมืองในสายหมอก หลังจากเราเข้าไปเช็คอินโรงแรมก็ออกมาเดินหาของกินบริเวณหอนาฬิกา ที่เจ้าของพื้นที่ตัวจริงคือนกบนสายไฟที่น่าจะมากกว่าประชากรเมืองเบตงทั้งเมือง ใครโชคดีก็จะได้ขี้นกหล่นใส่หัวไป ซึ่งเจ้าของพื้นที่แนะนำผัดไท กับโรตี แต่เรายังไม่อิ่มพอ เลยเดินหาร้านไปเจอร้านน้ำชา Small Frame กินอิ่มแล้วก็เดินไปถ่ายรูปที่อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์จุดถ่ายรูปประจำเมืองก่อนกลับไปนอน
Hantana ร้านอาหารฮาลาลอร่อยถูกปาก ราคาประทับใจ | หลังจากตื่นนอนสิ่งแรกที่คิดก็คือเรื่องกิน เป้าหมายคืออร่อย และมีอาหารแนะนำของเบตงครบ ซึ่งเลือกไปเลือกมาก็เป็นร้านใกล้ ๆ แถวหอนาฬิกา ชื่อร้าน Hantana ร้านเปิดตั้งแต่สิบโมง แต่เราไปกันเก้าโมงกว่าก็เลือกเมนูและรอข้าวสุก ส่วนอาหารที่สั่งคือ ไก่เบตงสับ 200 บาท ผักน้ำ 120 บาท ผัดหมี่เบตง 50 บาท และแกงส้ม 150 บาท ที่เป็นเมนูแนะนำประจำร้านนี้ ซึ่งถ้าให้ผมเรียงลำดับความอร่อยคือ ไก่เบตง ผักน้ำ แกงส้ม และหมี่เบตงครับ อันนี้ความถูกปากส่วนตัวเลย ส่วนราคานี่ตอนแรกคิดว่าต้องเกินหนึ่งพัน พอเช็คบิลจริงหารกันตกคนละร้อยกว่าบาทเองครับ ถูกและอร่อยแบบนี้ ถ้ามาเบตงต้องมาซ้ำแน่นอน
เฉาก๊วยเบตง กม. 4 เจ้าแรก บ้านไม้ ดั้งเดิม ขนมหวานชนิดนี้ดูเป็นสิ่งที่ต้องกินทุกครั้งที่มาเบตง คราวก่อนที่มาอัยเยอร์เวงผมก็ซื้อกลับไปกินที่ฝ่าย แต่เนื่องจากเฉาก๊วยต้องแช่เย็น ถ้าอยู่นอกตู้เย็นจะมีอายุแค่ประมาณหนึ่งวัน สำหรับเราที่ต้องไปค้างคืนที่ฆูนุงซีลีปัตต่อนั้น ไม่สามารถซื้อกลับบ้านได้ และกินกันคนละถ้วยก่อนเดินทางต่อ ราคาถ้วยละ 10 บาท ส่วนความอร่อยนั้นไปกินกันเองครับ
อุโมงค์ปิยมิตร สถานที่ท่องเที่ยวที่หลงเหลือจากสงคราม ค่าตั๋วเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 40 บาท ซึ่งการเดินทางไปยังอุโมงค์นี้ก็ใช้เส้นทางต่อจากร้านเฉาก๊วยเลยครับ เพียงแค่ขับตรงเข้าไปจนสุด ซึ่งต้องบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลย์มาเที่ยวกันพอสมควรเลยครับ ซึ่งจุดเด่นคืออุโมงค์ที่ให้เราได้เดินไปสำรวจด้านในว่า แหล่งหลบภัยในสมัยสงครามโลกเป็นยังไง ซึ่งมาครั้งนี้ดูเหมือนจะมีการปรับปรุงระบบการหมุนเวียนอากาศ ให้คนที่เดินข้างในรู้สึกไม่อึดอัด และมีแสงสว่างจากดวงไฟตลอดทางเดิน สำหรับคนที่สูงประมาณ 180+ ก็ต้องเดินแบบก้มหัวหน่อยครับ ซึ่งหลังจากออกจากอุโมงค์มาแล้ว เราเดินตรงต่อไปยังต้นไม้พันปี โดยจุดที่เราถ่ายคือรูปปั้นลิงที่อยู่ด้านล่าง 555
สวนดอกไม้หมื่นบุปผา ถ้าใครชอบดอกไม้ ถ่ายรูปดอกไม้ต้องมาตรงนี้เลยครับ โดยสวนดอกไม้แห่งนี้จะอยู่ก่อนถึงอุโมงค์ปิยมิตร แต่เราเลือกไปจากไกลมาใกล้ เลยเรียงลำดับจาก อุโมงค์ไปสวนดอกไม้แล้วไปจบที่บ่อน้ำร้อน ซึ่งตอนที่เราไปถึงสวนดอกไม้เป็นเวลาประมาณบ่าย แดดกำลังเผาได้ที่ เราเลยเลือกที่จะไปถ่ายรูปกันตรงบริเวณร้านกาแฟด้านข้างทางเข้าสวนแทน ได้รูปแล้วก็เดินทางกันต่อครับ
บ่อน้ำร้อน บ่อน้ำร้อนที่เบตงดูเหมือนจะมีหลายแห่ง แต่ที่เรามากันเป็นบ่อน้ำร้อนที่ดูเหมือนจัดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใช้บริการฟรี โดยมีการปรับปรุงจากเดิมค่อนข้างมาก เราก็ไปแช่เท้ากันพอให้หายเมื่อย ก่อนจะไปกินส้มตำ ซื้อข้าวขึ้นไปกินบนเขา หากใครต้องการกินกาแฟสดก็มีให้บริการตรงร้านด้านหน้าบ่อน้ำร้อน
ฆูนุงซีลีปัต เป้าหมายของทริป โดยหากจะไปฆูนุงซีลีปัต จากเท่าที่น้องดีนหาข้อมูลมาดูเหมือนเราจะขับรถไปเลยไม่ได้ ต้องใช้บริการเจ้าของพื้นที่ ซึ่งเจ้าที่เราเลือกคือ ประกายทิพย์ โดย เจ๊หลาน จุดเด่นคือ จะมีรถพาเราไปยังจุดที่ต้องเดินเท้าไปยังแคมป์แค่สองสามร้อยเมตรเองครับ หากใช้บริการเจ้าอื่นต้องเดินกันประมาณเกือบสองกิโล ผมหอบแดกแน่นอน
เริ่มต้นจากขับรถไปยังจุดจอดรถ ก่อนจะใช้บริการรถกระบะขึ้นไปยังจุดตั้งเตนท์ ซึ่งระยะทางต้องบอกว่าโหดใช้ได้เลย นั่งรถกระดอนไปกระดอนมา ข้างทางเป็นป่ายาง ขับไม่ดีมีโอกาสลงเหว แต่พวกเราก็นั่งขำกันได้ ซึ่งรถจะพาเราไปยังจุดที่ใกล้ที่สุดที่สามารถขับรถไปได้ จากนั้นเราก็จะเดินเท้าหิ้วของกันขึ้นไปครับ ซึ่งข้าวของพวกเราไม่มีอะไรมากเลย นอกจากเสื้อเปลี่ยนหนึ่งตัว อุปกรณ์แปรงฟัน อาหารและขนมที่พวกเราซื้อกันมา จริงจริงแล้วหากต้องการให้ทางทัวร์จัดอาหารให้ก็ได้ครับ แต่เราเลือกแพคเกจที่ถูกที่สุด 1,700 บาท แบ่งเป็นค่าเตนท์ 350 ต่อเตนท์ ค่ารถรับส่งไปกลับ 1,000 บาท อาหารต้องเตรียมกันมาเอง ส่วนเรื่องอาบน้ำนี่ไม่มีครับ ซักแห้งทั้งหมด
ชมพระอาทิตย์ตกดิน ไฮท์ไลค์อีกอันนึงของการมาพักค้างคืน คือ เราจะมีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ตกดิน ชมดาว ชมทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้น ในชั่วระยะเวลาหนึ่งคืนที่เราพักที่นี่ โดยการไปชมพระอาทิตย์ตกนั้นก็เป็นจุดเดียวกับที่เราไปชมทะเลหมอก โดยเราต้องเดินไปจากจุดตั้งเตนท์ไม่ไกล แต่ต้องปีนหน้าผาหินขึ้นไปครับ โดยทางแคมป์เขาอำนวยความสะดวกให้ตรงบางจุดที่ชันมากจะมีเชือกให้คอยไต่ขึ้นไปได้ครับ สิ่งแนะนำอีกอันนึงคือ ถุงมือครับ เพราะถ้าใช้มือเกาะก็จะได้แผลบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนคนกลัวความสูงนี่ต้องทำใจมาเยอะ ๆ เลยครับ เหมือนผม ที่ตอนปีนก็ปีนอย่างเดียว ไม่หยุด ปีนให้ถึงยอดแล้วค่อยหยุดทีเดียวครับ ไม่งั้นขึ้นไม่ถึงแน่ ๆ ซึ่งตรงจุดนี้เราก็จะได้รูปกันพอประมาณเลย และที่สำคัญมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตกกันเยอะมากครับ บางคนนั่งต่อจนถึงค่ำเพื่อจะได้ชมดาวต่อเลย ส่วนเรา กลับไปกินข้าวและนอนเพื่อออมแรงเก็บไว้ปีนเขาดูทะเลหมอกตอนพรุ่งนี้เช้าครับ
ทางลงของเราครับ |
ข้อมูลสำหรับติดต่อทัวร์ |
น้ำตก ร.9 เฉลิมพระเกียรติ์ น้ำตกที่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าของทัวร์ เจ๊หวานว่าต้องไปเยือนเสียหน่อยระหว่างทางกลับยะลา ซึ่งเดินทางไปไม่ไกลเลย น้ำตกแห่งนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักเท่องที่ยว จึงมีแค่รถของเราแค่คันเดียวที่ขับเข้าไปครับ และคิดว่ายังพัฒนาได้ไม่สุด เหมือนถูกทิ้งอยู่กลางทาง เข้าไปถ่ายรูป แช่เท้าเล็กน้อยแล้วเดินทางต่อ
สะพานแตปูซู สะพานไม้แขวนแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเบตง
พิซซ่าปลานิลสายน้ำไหลเทือกเขาสันกาลาคีรี หลังออกจากสะพานแตปูซู เราก็ไปหาพิซซ่ากินกันที่ร้านใกล้ ๆ ครับ คือ Darina ที่มีคำโปรยแสนชวนกินว่า พิซซ่าปลานิลในสายน้ำไหลฯ เอาล่ะ ต้องกินสักหน่อย อีกอย่างหิวมาก ถ้าต้องขับไปกินในเบตงคราวเดียวเห็นท่าจะไม่ไหว ซึ่งพออาหารมาถึงก็รสชาติถูกปากใช้ได้เลย อีกอย่างราคาพิซซ่าโฮมเมดแบบนี้แค่ 99 บาท แต่ผมชอบพิซซ่าทะเลอีกถาดที่สั่งมาพร้อมกันมากกว่า 555
หนมจีน ณ ภูเก็ต สาขายะลา หลังจากกินพิซซ่ารองท้อง เราก็ขับรถกันมากันต่อที่ยะลา ใช้เวลาอีกประมาณเกือบสองชั่วโมง ซึ่งร้านเป้าหมายของเราคือ ขนมจีน ณ ภูเก็ต สาขายะลา ที่จะเพิ่งเปิดเมื่อไม่นานมานี้เอง เหมือนจะเป็นขนมจีนรสชาติพรีเมียม เพราะราคาจานละ 70 บาทเป็นอย่างน้อย สั่งกันกินคนละจาน พบว่ากินเพื่อให้รู้รสชาติก็น่าจะพอแล้ว ส่วนโกโก้ต้องขอชมว่าเข้มข้นดีในราคา 30 บาท จากนั้นก็เอาล่ะ กลับบ้านกัน
ปัจฉิมบท ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคน ขอบคุณมิตรภาพของทุกคนที่พบเจอ โดยเฉพาะน้องดีนที่ขับรถดีมาก จนเรายกให้เป็นเทพเท้าเหยียบโลก รวมถึงความตลกโปกฮาที่ทุกคนขำกันแบบไม่มีเหตุผล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น