หนังเรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของทีมนักข่าว Spotlight ของสำนักพิมพ์ Boston Globe สหรัฐอเมริกา ที่ร่วมกันขุดคุ้ยประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศเด็กของบาทหลวงคาธอลิคในเมืองบอสตัน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ตัวคาร์ดินาลประจำเมืองบอสตันก็ล่วงรู้ แต่พยายามปกปิด รวมถึงพยายามไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหายเพื่อปิดข่าวไว้
เบื้องต้นทีมข่าวได้สืบทราบถึงรูปแบบของการเกิดเหตุการณ์รวมถึงลักษณะการจัดการของศาสนจักรต่อตัวบาทหลวงผู้กระทำผิด ว่าจะมีการย้ายโบสถ์ที่ประจำการบ่อย รวมถึงให้สาเหตุการย้ายออกว่าเกิดจากอาการป่วย
สิ่งที่น่าตกใจคือ แหล่งข่าวคนหนึ่งที่ได้เคยทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มีบาทหลวงราว ๆ ร้อยละ 6 ที่ทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก ซึ่งเมืองบอสตันที่มีบาทหลวงอยู่ตอนนั้นประมาณ 1500 คน ก็จะมีบาทหลวงที่กระทำความผิดอยู่ประมาณ 90 คน ... โดยที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเด็ดขาดจากทางศาสนจักร หรือทางกฎหมาย
ซึ่งตัวหนังได้แสดงให้เห็นถึงอำนาจทางการเมืองที่ศาสนจักรมีต่อเมืองนี้ ทั้งการจ้างนักกฎหมายเพื่อไกล่เกลี่ย รวมถึงคอยช่วยบาทหลวงผู้กระทำความผิด แม้ว่าจะมีบาทหลวงคนอื่นที่เห็นการล่วงละเมิดทางเพศดังกล่าว ก็ต้องเงียบไว้ หากไม่อยากถูกย้ายไปประจำถิ่นทุรกันดาร
เมืองบอสตันมีเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดมากกว่า 1,000 คน ซึ่งผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวในวัยเด็ก ทำให้ส่วนมากเกิดบาดแผลทางใจ บางครอบครัวเลี่ยงการพูดถึงเรื่องนี้ รวมถึงการปิดกั้นการเข้าถึงตัวเหยื่อ เนื่องจากมองว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ โดยเฉพาะในครอบครัวยากจนที่บาทหลวงเปรียบเสมือนพระเจ้ามาโปรด จึงสามารถล่อลวงเด็ก ๆ เหล่านั้นได้ง่ายกว่าครอบครัวอื่น ๆ
เมื่อข่าวเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ ทำให้ค้นพบการล่วงละเมิดทางเพศในรัฐอื่น ๆ อีกมาก รวมถึงทั่วโลก นับว่าเป็นการสั่นคลอนศรัทธาของคริสตจักรในฐานะผู้รับใช้พระเจ้าขอบคุณหนังเรื่องนี้ที่ทำให้เราเห็นบทบาทของนักข่าว ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้างได้อย่างไร จนผมอยากให้นักข่าวบ้านเราเป็นแบบนี้กันเยอะ ๆ เพื่ออย่างน้อยจะได้ช่วยเหลือสังคม หรือชี้นำสังคมไปในทางที่ถูกต้องได้
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่จัดว่า "ต้องดู" ซึงตอนนี้ดูได้แล้วทางเน็ตฟลิกซ์ Netflix: Spotlight การันตีโดยการคว้าออสการ์มา 2 รางวัล คือ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ปี 2016
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น