วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตลาดน้ำอัมพวา | ความเศร้าคือเราไปผิดวัน และตลาดน้ำขายปลาทู ไม่ขายแมว


หลังจากที่เข้าไปเยี่ยมชมสวนมะนาวโห่ลุงศิริกันแล้ว เหลือเวลาว่างอีกนิดหน่อยก่อนกินข้าวเข้าที่พัก เราก็ไปแวะกันที่ตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันนั่นเอง แต่วันที่เราไปเป็นเย็นวันจันทร์ไม่ใช่วันออฟฟิเชียลเปิดทำการของตลาดน้ำ และยังไปกันเย็นย่ำใกล้ค่ำกันมาก ร้านรวงปิดกันเกือบหมด แม่ค้าก็เก็บแผงม้วนเสื่อกลับบ้านกันแล้ว แต่ในเมื่อเราว่าง ย้ำว่า "ว่าง" เราเลยแวะตลาดแห่งนี้ชมบรรยากาศ และสถาปัตยกรรมริมน้ำ ที่ตอนนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง


การเดินตลาดน้ำที่ต่าง ๆ ก็จะได้รับบรรยากาศที่ต่างกัน โดยที่แตกต่างกันมากที่สุด คือวัฒนธรรมที่แอบซ่อนอยู่กับตัวสินค้าที่ต่าง ๆ อย่างตลาดน้ำอัมพวา สิ่งที่เด่นน่าจะเป็นปลาทูแม่กลอง ที่ถูกทำเป็นหมอนกอด มีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าข้อมือ ไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าหมอนหนุนหัวผีเสื้อสมุทร เดินไปอีกนิดก็เจอร้านขายมะม่วงแช่อิ่มที่อร่อยมาก จนต้องช่วยกันซื้อกับอาจารย์นุช (หัวหน้าคณะฯ) โดยสิ่งที่ทำให้แวะคือ เจ้าแมวขาวตัวอ้วนนอนขี้เซาอยู่ในตะกง (เป็นจุดขายที่ดีมาก) เหมือนหมาชิบะในร้านชำที่ญี่ปุ่น ต่างกันที่เจ้าตัวนี้ขี้เกียจหน่อย 555

เดินต่อไปอีกนิดเจอขนมฟองน้ำ ... คืออะไร ... ลองชิมดูคือขนมปังที่เนื้อขนมปังคล้ายฟองน้ำนั่นเอง เนื้อนุ่ม ๆ เด้ง ๆ บางเบา ต่างกับฟองน้ำจริงตรงที่เนื้อขนมปังละลายในปากได้เลย ส่วนฟองน้ำจริงคงไม่ย่อยติดคอตาย สารภาพว่าเดินรอบแรกใจแข็งเดินผ่านไปแล้ว พอขากลับเท่านั้นแหละ คนขายบอกโปรซื้อสามกล่องจาก 360 บาท เหลือ 320 บาท เลยหาพี่พี่หารกันซื้อคนละกล่อง กะว่าจะเอามาแบ่งให้ที่ทำงานกิน แต่เอาจริง คืนวันต่อมาตอนอยู่โรงแรม Louis Tavern แถวหลักสี่ หิวมากท้องร้องโครกคราก เลยกะว่าแกะกล่องมาขอจิกกินสักหนึ่งชิ้น ... ปรากฎว่าไม่อร่อยแล้ว เนื้อสากมาก ไม่เหมือนตอนเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เลย สุดท้ายตัดสินใจทิ้งที่โรงแรม ไม่เอากลับ (เสียดายเงิน 120 บาทเบาเบา)

ถัดจากร้านขนมฟองน้ำ ก็เดินขึ้นสะพานไปถ่ายรูปกันนิดหน่อย หอมปากหอมคอ เพราะเดี๋ยวเขาไม่รู้ว่าเรามา (แต่มาไม่ตรงวันแบบนี้ก็เขิน ๆ เหมือนกัน) ลงสะพานก็เป็นร้านรวงที่ปิดหมดแล้วเช่นกัน เลยเดินกลับ ซื้อขนมฟองน้ำ เดินผ่านร้านขายปลาทู ขายขนม ขายผลไม้ กะไว้ว่าจะไม่ซื้ออะไรแล้ว แต่ไปตายตรงที่ร้านขายน้ำตาลสด หอมหวานอร่อย แก้วละ 20 บาท ความหวานระดับที่กินสามแก้วน่าจะเบาหวานขึ้นตาได้เลย แต่อร่อย คอนเฟิร์ม!

ถัดจากนี้ก็ไม่ได้เดินกันต่อแล้ว ขึ้นรถกินข้าวเข้าที่พักเลย แต่ตอนเช้าก่อนออกเดินทางมีเวลาว่างนิดหน่อยก็เลยได้เดินสำรวจชุมชนอัมพวา โดยมีอาจารย์นุชเป็นไกด์ท้องถิ่น แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ให้ฟัง ซึ่งตอนเช้าแบบนี้ประมาณ 6.30 - 7.00 น. ก็ยังไม่ค่อยมีคนเหมือนกัน เดินชมบรรยากาศริมน้ำไปเรื่อย ๆ เจอ สภ.อัมพวา ที่ยังทำเป็นจุดให้เช็คอินถ่ายรูป กับที่ว่าการอำเภอ ที่ยังดูคงความเป็นชุมชนริมน้ำอยู่เลย โดยก่อนเดินเข้าโรงแรม ก็ขอซื้อหมูปิ้งไม้ละ 5 บาทเดินกินก่อนเข้าโรงแรม เพลินพุงกันไป

ใครที่อยู่กรุงเทพก็น่าจะสะดวกหน่อยเพราะเดี๋ยวนี้เขามีคิวรถตู้จากสายใต้ถึงตลาดอัมพวาเลย ส่วนวิธีการเดินทางมาอื่น ๆ ก็หาทางกันเอาเอง เพราะผมก็อาศัยเขามา ก็ต้องขอบคุณคณาจารย์และทีมงานผู้จัดทุกท่านครับ 


























ไม่มีความคิดเห็น: